เดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรก็ซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทั้งหมด ตั้งแต่ของใช้จุกจิกประจำวันไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพียงแค่สั่ง จ่ายเงินแล้วก็นั่งรอที่บ้านสบายๆ ไม่นานทางร้านก็จะจัดส่งมาให้ตามความต้องการเลย
เมื่อวงการขายออนไลน์เฟื่องฟูขนาดนี้ อาชีพแม่ค้าออนไลน์ก็เลยขยายวงกว้างมากขึ้น เริ่มจากมีคนขายของชิ้นเล็กๆ ของที่เน้นความน่ารักสดใส สินค้าตามกระแสแฟชั่น และสินค้าความสวยความงาม แล้วก็ยกระดับมาเป็นของชิ้นใหญ่ที่เมื่อก่อนไม่มีใครคิดเลยว่าจะมีคนเอามาขาย เช่น รถ บ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า หม้อหุงข้าว หรือแม้แต่ของมีค่ามากๆ อย่างทองคำและเพชร และที่น่าตกใจมากกว่าการมีคนเอามาขายก็คือ มีคนซื้อด้วยจริงๆ แถมยังสร้างกำไรอย่างมหาศาลอีกด้วย
สำหรับแม่ค้าออนไลน์แล้ว ตัวช่วยหนึ่งที่ถือว่าสำคัญมากๆ ขาดไม่ได้เลยก็คือไปรษณีย์ และคำถามยอดนิยมมากๆ ก็คือ ไปรษณีย์ปิดกี่โมง เรียกว่าเป็นคำค้นหาที่มีจำนวนการค้นหาเยอะมากๆ ในระบบกูเกิ้ล
เพราะคำตอบของคำถามที่ว่า ไปรษณีย์ปิดกี่โมง นั้นมันไม่แน่นอน แต่ละที่มีเวลาทำการที่แตกต่างกันมาก บางที่ปิดทำการเสาร์อาทิตย์ บางที่เปิดทุกวัน หยุดแค่วันนักขัตฤกษ์ บางที่เปิดพร้อมเวลาทำการของห้างสรรพสินค้า บางที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ดังนั้นบรรดาแม่ค้าออนไลน์จึงต้องคอยเช็คว่าไปรษณีย์ปิดกี่โมง เพื่อให้แน่ใจว่าการหอบของไปส่งครั้งนั้นไม่เสียเปล่า หรือถ้าสาขาใกล้ๆ ปิดเร็วแล้วไปไม่ทัน พอจะมีสาขาอื่นที่ใช้บริการได้บ้างไหม
วันนี้เราจึงจะมาบอกข้อมูลเรื่องเวลาทำการของไปรษณีย์ให้ฟังกันบางส่วน เพื่อให้เป็นตัวช่วยของแม่ค้าออนไลน์ จะได้จัดการเรื่องเวลาแพ็คของกับส่งของให้พอดีได้
เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ ไปรษณีย์ปิดกี่โมง เหมือนหรือแตกต่างกันแค่ไหน
เดิมทีไปรษณีย์ไทยที่ไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือหน่วยงานอื่นๆ ก็จะปิด-เปิดตามเวลาดังต่อไปนี้
วันทำการปกติ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เปิดทำการเวลา 08.30-16.30 น.
วันเสาร์ เปิดทำการเวลา 08.30-12.00 น. และหยุดทำการในวันอาทิตย์
แต่เมื่อเริ่มมีหน่วยงานให้บริการด้านขนส่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม่ค้าออนไลน์ตลอดจนคนทั่วไปที่ต้องใช้บริการส่งของ ก็มีตัวเลือกอื่นๆ ด้วย ไปรษณีย์เองจึงต้องปรับตัวให้ตอบสนองผู้ใช้บริการได้มากขึ้น เรียกว่าซื้อใจลูกค้าเก่าไม่ให้ไปใช้บริการที่อื่นจนหมดนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นลดราคาค่าส่ง การให้บริการสะสมแต้มหรือคะแนนพิเศษ การให้บริการส่งของที่เร็วกว่าเดิม และแน่นอนมีการปรับเปลี่ยนเวลาทำการของไปรษณีย์ด้วย โดยที่เวลาใหม่เป็นดังนี้
ในพื้นที่ที่มีคนใช้บริการปกติ ไปรษณีย์ปิดกี่โมง
- วันทำการปกติ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เปิดทำการเวลา 08.30-16.30 น.
- วันเสาร์ เปิดทำการเวลา 08.30-12.00 น. และหยุดทำการในวันอาทิตย์
- ในพื้นที่ที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก เช่น ย่านเศรษฐกิจ แหล่งชุมชนขนาดใหญ่ เป็นต้น ไปรษณีย์ปิดกี่โมง
- วันทำการปกติ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เปิดทำการเวลา 08.00-20.00 น.
- วันเสาร์ เปิดทำการเวลา 08.00-17.00 น. และวันอาทิตย์ เปิดทำการ 08.00-12.00 น.
- หยุดทำการเฉพาะวันนักขัตฤกษ์สำคัญๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นี่จะเป็นเพียงคำตอบมาตรฐานของคำถามที่ว่า ไปรษณีย์ปิดกี่โมง เท่านั้น หากต้องการความแน่ใจและชัดเจน จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลของไปรษณีย์แต่ละแห่งร่วมด้วย เพราะบางที่ก็ไม่ได้ปิดเปิดตามเวลาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่เปิดปิดตามเวลาของสถานที่ใกล้เคียง เช่น ถ้าอยู่ใกล้สถานที่สำคัญที่มีผู้คนสัญจรไปมาตลอด ก็อาจจะมีเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง หรือถ้าคนในย่านชุมชนค่อนข้างน้อย ก็อาจจะปิดทำการทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์
เราสามารถตรวจสอบว่า ไปรษณีย์ปิดกี่โมง ได้อย่างถูกต้อง 2 ช่องทาง ก็คือ ตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชั่นแผนที่ ค้นหาไปรษณีย์สาขาที่ต้องการ แล้วกดดูรายละเอียดเวลาเปิดปิดที่แจ้งเอาไว้ อีกทางหนึ่งก็คือ โทรสอบถามทางโทรศัพท์ของไปรษณีย์นั่นเอง
นอกจากเรื่องเวลาทำการของไปรษณีย์แล้ว เรื่องต่อมาที่แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้ก็คือ หากแม่ค้ามีจำนวนสินค้าที่ต้องส่งค่อนข้างเยอะ สามารถใช้บริการรับกล่องพัสดุที่หน้าบ้านได้ด้วย โดยทางไปรษณีย์จะจัดพนักงานมายังจุดนัดหมาย แล้วทำการรับกล่องพัสดุไป ซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับแม่ค้าอย่างมาก ประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง เพียงแต่ว่าต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ทางไปรษณีย์กำหนดเอาไว้ด้วย นั่นคือจะต้องเป็นผู้ที่มีพัสดุรอนำส่งจำนวนมาก ไม่สะดวกเดินทางไปยังไปรษณีย์ด้วยตัวเอง จำนวนที่ว่านี้ต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนด พัสดุไปรษณีย์ไม่ต่ำกว่าครั้งละ 50 ชิ้น และไปรษณียภัณฑ์ไม่ต่ำกว่าครั้งละ 500 ชิ้น
จะเป็นพัสดุที่ส่งภายในประเทศหรือนอกประเทศก็ได้ทั้งนั้น สามารถใช้บริการส่งแบบลงทะเบียน เก็บเงินปลายทาง หรือส่งด่วน EMS ก็ได้ เลือกวิธีการส่งได้เหมือนกับการเดินทางมาส่งเองที่ไปรษณีย์ทุกอย่าง ผู้ที่ต้องการให้พนักงานไปรษณีย์ไปรับของที่หน้าบ้าน ต้องแจ้งยื่นขอและรอให้ได้รับการอนุญาตเสียก่อน อีกทั้งทางไปรษณีย์สามารถบอกยกเลิกบริการแก่ใครก็ได้ หากการให้บริการนั้นสร้างความยุ่งยากหรือสร้างอุปสรรคให้กับการทำงานของพนักงานมากเกินไป ส่วนค่าบริการก็จะวัดตามขนาดของรถที่ต้องวิ่งออกไปรับของ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ หากเป็นรถยนต์ตู้ทึบ 4 ล้อ คิดค่าใช้จ่ายคันละ 1600 บาท แต่หากเป็น รถยนต์ ตู้ทึบ 6 ล้อ ก็จะคิดค่าใช้จ่ายที่คันละ 1200 บาท ในการให้บริการรับกล่องพัสดุที่หน้าบ้านของไปรษณีย์นี้ แม้จะดูเหมือนว่าอำนวยความสะดวกให้กับคนค้าขายได้มากก็จริง แต่ก็ถือว่ายังมีเงื่อนไขค่อนข้างเยอะพอสมควร ถ้าเทียบกับค่ายน้องใหม่บางค่ายที่ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย กล่องเดียวก็รับได้
แถมค่าบริการอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ บรรดาแม่ค้าออนไลน์จึงต้องคำนวณอย่างรอบคอบว่า ระหว่างการใช้บริการให้ไปรษณีย์มารับของที่บ้าน กับเดินทางไปเองแม้จะยากสักหน่อย แบบไหนคุ้มค่ากับกำไรที่ได้จากการขายสินค้ามากกว่ากัน เพราะถ้าได้รับความสะดวกจริง แต่สุดท้ายแล้วการขายสินค้าไปหลักร้อยกล่อง ให้กำไรสุทธิแค่ไม่กี่บาท แบบนี้มันคงจะไม่คุ้มค่ากับการทำเท่าไร นั่นหมายความว่ากลุ่มสินค้าที่เหมาะกับบริการนี้ นอกจากจะต้องเป็นสินค้าที่ขายง่ายขายดี มีออเดอร์หลายชิ้นต่อวัน ก็ต้องมีกำไรต่อชิ้นที่ค่อนข้างสูงสักหน่อยด้วย หรือไม่ก็ต้องบวกค่าส่งเพิ่มกับทางลูกค้า แต่ก็ต้องแลกมากับการตัดสินใจซื้อที่ยากขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมสิ่งสำคัญ ต้องดูด้วยว่า ไปรษณีย์ปิดกี่โมง เพราะบริการเหล่านี้ต้องเป็นไปตามเวลาทำการของไปรษณีย์ด้วย หลายคนพอให้ไปรษณีย์มารับก็ลืมดูเรื่องเวลา บางทีนัดไปรษณีย์มารับเย็นหรือเช้าเกินไป พอถูกปฏิเสธการให้บริการก็พาลไปตำหนิทางไปรษณีย์เสียอีก แบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ ไปรษณีย์เปิดกี่โมง และ ไปรษณีย์ปิดกี่โมง ก็ต้องให้เป็นไปตามนั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่แม่ค้าออนไลน์ไม่ควรพลาดเลยก็คือ แอพพลิเคชั่นที่ทางไปรษณีย์ทำออกมา เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกมากขึ้น เริ่มต้นจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องส่งของแบบเก็บเงินปลายทาง จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้เอาไว้ สำหรับสมัครบัญชีเก็บเงินปลายทาง เมื่อสมัครแล้วก็จะได้กระเป๋าเงินออนไลน์หรือ วอลเลท เป็นที่ที่ไปรษณีย์จะโอนเงินที่ได้รับจากลูกค้าเข้ามา และทุกครั้งที่มีเงินเข้าจะมีการแจ้งเตือนเราทาง SMS อีกด้วย เราจึงไม่ต้องไปคอยเช็คเลขพัสดุเลยว่าของถึงมือลูกค้าหรือยัง ถ้ามีข้อความแจ้งเตือนมาก็แสดงว่าของถึงแล้วเรียบร้อยนั่นเอง เราสามารถโอนต่อไปยังบัญชีธนาคารไหนของเราก็ได้ หรือจะเอาไว้ใช้จ่ายเป็นค่าส่งของในคราวต่อไปก็ถือว่าสะดวกดีเหมือนกัน เพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ด แล้วทำการโอนเงินจากวอลเลทออกไปก็เรียบร้อย ไม่ต้องจ่ายเงินสดเลยสักบาท
นอกจากนี้ภายในแอพพลิเคชั่นก็ยังมีแจ้งข่าวในเรื่องของโปรโมชั่นปัจจุบัน รหัสไปรษณีย์ของแต่ละพื้นที่ และยังบอกเวลาทำการของไปรษณีย์เอาไว้ด้วย แค่เปิดดูแอพพลิเคชั่นเราก็เลยรู้ได้ทันทีเลยว่า ไปรษณีย์ปิดกี่โมง
แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า Wallet@Post เป็นแอพพลิเคชั่นที่มีไอคอนสีแดงสดใส ธีมสีประจำของไปรษณีย์นั่นเอง พอเข้าไปแล้วก็จะเห็นว่ามีฟังก์ชันใช้งานหลากหลายมาก หน้าแรกด้านบนสุด เป็นวงเงินของเราที่มีอยู่ เป็นวงเงินที่สามารถใช้จ่ายที่ไปรษณีย์ได้ ใช้โอนไปยังธนาคารอื่นๆ ได้ ถัดลงมาเป็นปุ่มเติมเงินเข้าบัญชี เป็นธรรมดาที่แม่ค้าออนไลน์อย่างเรา อาจจะไม่ได้มีลูกค้าขอใช้บริการเก็บเงินปลายทางบ่อยๆดังนั้นเงินในนี้ก็อาจร่อยหรอลงไปได้บ้าง หากเราต้องการเพิ่มเงินก็สามารถโอนเข้าไปได้ง่ายๆ เลย มีหน้าประวัติการทำรายการแจ้งเอาไว้ด้วย ระบุชัดทั้งวันที่ เวลา และจำนวนเงินที่เกิดการหมุนเวียน ดีต่อการทำบัญชีหรือเก็บค่าสถิติลูกค้า โดยหน้าประวัตินี้จะแสดงย้อนหลังไปเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น เมื่อครบเดือนแม่ค้าออนไลน์จึงต้องรีบสะสางบัญชีให้เรียบร้อย อย่าปล่อยคั่งค้างไว้นานจนข้อมูลหายเป็นอันขาด บริการทั้งหมดนี้เป็นบริการฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เพียงแค่สมัครด้วยการกรอกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เช่น ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ตั้งรหัสผ่าน เป็นต้น ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมใช้งานทุกฟังก์ชันด้านใน
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทันทีที่มีหน่วยงานให้บริการขนส่งพัสดุอื่นๆ เพิ่มขึ้นมา อย่างเช่น เคอรี่ แฟลช เป็นต้น ทางไปรษณีย์เองก็เร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ การแจ้งข้อมูลข่าวสาวต่างๆ อย่างรวดเร็ว การเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ได้กว้างขึ้น ลึกขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น และที่เราเห็นได้ชัดที่สุดก็คือการปรับเปลี่ยนเวลาทำการ จากเดิม ไปรษณีย์ปิดกี่โมง ก็ปรับยืดหยุ่นให้เหมาะกับคนในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการอย่างมาก และยังส่งเสริมการค้าขายให้ขยายตัวไปในวงกว้างขึ้น เชื่ออย่างยิ่งเลยว่านี่จะไม่ใช่การพัฒนาครั้งสุดท้ายของไปรษณีย์ ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนที่จะดึงดูดผู้ใช้บริการได้อีกมาก และทำให้หลายคนที่เคยเปลี่ยนใจไปใช้บริการค่ายอื่นๆ หันกลับมามองไปรษณีย์กันใหม่อีกครั้ง
เริ่มตั้งแต่บริการที่ดีขึ้น ค่าส่งที่ถูกลง ของไปถึงไว เช็คของได้ตลอดเส้นทาง นี่คือจุดดีที่ไปรษณีย์ทำได้ในตอนนี้ แต่ก็เป็นจุดดีที่หลายค่ายทำได้เหมือนกัน เรียกว่าทิ้งช่วงห่างยังไม่มากเท่าไร ในฐานะแม่ค้าออนไลน์ เราก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าไปรษณีย์จะคงความดีเหล่านี้ไว้ได้นานแค่ไหน และจะมีอะไรที่เป็นการพัฒนาต่อยอดใหม่ๆ มาให้เราได้เลือกใช้บริการกันบ้าง